การพิมพ์และการบูรณะวัด
โดยการใช้เทคโนโลยี การสแกน 3 มิติ (3D Scanning) และการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ในการบูรณะวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
กรมศิลปากร ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อดำเนินโครงการนี้ โครงการได้รับความร่วมมือจากนักโบราณคดี วิศวกร สถาปนิก และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี 3D
การใช้เทคโนโลยี การสแกน 3 มิติ (3D Scanning) และการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ในการบูรณะวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการผสมผสานนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ากับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของไทย
บริบทของวัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุเป็นโบราณสถานสำคัญของกรุงศรีอยุธยา มีพระปรางค์ขนาดใหญ่ที่ได้รับความเสียหายจากกาลเวลาและภัยธรรมชาติ โครงสร้างส่วนบนของพระปรางค์ได้พังทลายลงหลายครั้ง มีการบูรณะมาแล้วหลายช่วง แต่ยังต้องอาศัยความแม่นยำในการคืนรูปแบบเดิม
การใช้เทคโนโลยี 3D Scanning และ 3D Printing
- การสแกน 3 มิติ (3D Scanning)
นักโบราณคดีและวิศวกรใช้ LiDAR หรือ เครื่องสแกนเลเซอร์ 3 มิติ เพื่อเก็บข้อมูลรูปร่าง ขนาด และตำแหน่งของโครงสร้าง สามารถจับภาพโบราณวัตถุ เช่น เศษอิฐ หัวเสา หรือลวดลายปูนปั้น ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลถูกนำมาสร้างแบบจำลองดิจิทัลของพระปรางค์และส่วนประกอบต่าง ๆ - การวิเคราะห์โครงสร้างด้วยแบบจำลอง 3 มิติ
แบบจำลอง 3 มิติที่ได้จากการสแกนถูกนำไปใช้ใน ซอฟต์แวร์วิศวกรรม เพื่อวิเคราะห์โครงสร้าง ความเสียหาย และความเสี่ยงของการพังทลายเพิ่มเติม สามารถวางแผนการบูรณะและเสริมความแข็งแรงโดยไม่ต้องสัมผัสโบราณวัตถุจริงมากเกินไป - การพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)
พิมพ์แบบจำลองขนาดเล็ก (scale models) ของชิ้นส่วน เช่น เศษหินปูนปั้นหรือชิ้นส่วนพระปรางค์ เพื่อศึกษาและวางแผนการประกอบ ใช้ในการฝึกซ้อมการจัดวางก่อนการบูรณะจริง ในบางกรณี ใช้การพิมพ์เพื่อสร้างชิ้นส่วนทดแทนที่สูญหาย หากชิ้นส่วนนั้นไม่มีผลต่อโบราณวัตถุดั้งเดิม (ใช้วัสดุที่ไม่รบกวนของเดิม)




